เปลี่ยนสีผมบ่อยก็เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง

ย้อมผม

     การเปลี่ยนสีผมนั้นทำได้ทุกเพศทุกวัยทั้งการย้อมผมตามแฟชั่นหรือเพื่อเสริมบุคลิก แม้กะทั่งทำให้ดูหนุ่มดูสาวขึ้น น้ำยาเปลี่ยนสีผมจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด

1. ยาเปลี่ยนสีผมแบบชั่วคราว ส่วนประกอบจะมีโมเลกุลขนาดใหญ่ สีจะเคลือบอยู่ชั้นบนเส้นผม สีจะหายไปเมื่อทำการสระ
2. ยาเปลี่ยนสีผมแบบกึ่งถาวร ส่วนประกอบจะมีโมเลกุลเล็กกว่ายาย้อมผมแบบชั่วคราว และเข้าไปในชั้นผม สีจะติดทนอยู่ประมาณ 3-5 สัปดาห์
3. ยาเปลี่ยนสีผมแบบถาวร จะประกอบไปด้วย สีออกซิเดชั่น และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ จะซึมเข้าไปในเส้นผม สีจะติดอยู่บนเส้นผมอย่างถาวร

แล้วย้อมผมบ่อยเกิดมะเร็งได้อย่างไร?

     มีการวิจัยพบว่าสารเคมีบางชนิดในน้ำยาย้อมผม ทำให้สัตว์ทดลองเป็นมะเร็งที่เต้านม และที่มดลูก แต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ในคน และยังมีการวิจัยอีกว่าคนที่เปลี่ยนสีผมบ่อยๆ หรือย้อมผมบ่อยจะมีโอกาศเสี่ยงเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่เปลี่ยนสีผมเลย
- คนที่ย้อมผมมากกว่า 9 ครั้งต่อปี มีสิทธิ์เสี่ยงต่อโรคมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง โรคเนื้องอกในสมอง และโรคลูคีเมีย หรือเมะเร็งในเม็ดเลือด  ได้ง่ายกว่าคนทั่วไปถึงร้อยละ 60
- คนที่ย้อมผมปกปิดสีผมขาวชนิดสีดำ จะมีโอกาสที่มะเร็งจะพัฒนาไปเป็นเนื้องอกในสมอง และมะเร็งในเม็ดเลือดชนิดที่ไม่ลุกลามได้ง่ายขึ้นกว่าถึงร้อยละ 50
- คนที่ย้อมผมหลากหลายสี จะมีความเสี่ยงสูงกว่าถึงร้อยละ 70



คุณเป็นโรคเสพติดการช้อปปิ้งหรือเปล่า?

ช้อปปิ้ง

     คุณทราบหรือไม่ว่าการติดการช้อปปิ้งหรือการใช้จ่ายเงินออกไปอย่างฟุ่มเฟื่อยโดยไม่จำเป็นเป็นอาการของโรคอย่างหนึ่งที่ชื่อว่า "ไบโพล่า" (Bipolar) เราจะมาทำความรู้จักกับโรคนี้กันคะ

ไบโพล่า คือ โรคที่มีความผิดปกติทางอารมณ์ จะมีการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ 2 ขั้วอย่างชัดเจน อย่างแรกคืออารมณ์ซึมเศร้าแบบผิดปกติ จะมีอาการเบื่อหน่ายไม่อยากจะทำอะไร หมดแรง มองโลกในแง่ลบ บางครั้งคิดอยากจะตาย อย่างที่สองคืออารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติ จะมีอารมณ์ร่าเริง สนุกสนาน เชื่อมั่นในตกเอง พูดเร็ว ทำสิ่งต่างๆ ได้รวดเร็ว มีกิจกรรมมากผิดปกติ มีการตัดสินใจที่ไร้เหตุผล เช่น มีใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มีการสำส่อนทางเพศ โรคดังกล่าวนี้จะมีอาการขึ้นลงของอารมณ์มากกว่าคนปกติทั่วไปเป็นเวลาติดต่อกัน
     บางคนจะเป็นโรคนี้ อาจจะเป็นประมาณ 4-6 เดือน แล้วหายเป็นปกติเองโดยที่ไม่ต้องรับการรักษาโดยโรคนี้ช่วงซึมเศร้าจะเหมือนกับโรคซึมเศร้าที่มีอัตราเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย ผู้ป่วยจากโรคไบโพล่าจากการวิจัยพบว่าจะเริ่มป่วยในช่วงของวัยรุ่นแต่จะไม่ปรากฎอาการที่รุนแรง แต่อาจเริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น ไม่มีสมาธิในการเรียน เก็บตัวอยู่คนเดียว ใช้จ่ายอย่างไร้เหตุผล ทะเลาะกับคนรอบข้าง เป็นต้น

การรักษาโรคไบโพล่า
     การรักษาแพทย์จะให้ยาที่ปรับสารสื่อประสาท และให้คำแนะนำในการดูแลตนเองในด้านต่างๆ แต่ในบางรายอาจต้องทำการรักษาโดยการทำจิตบำบัดร่วมด้วยเพื่อขจัดความเครียด ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะใช้การรักษาประมาณ 2-8 สัปดาห์จึงจะหาย แต่โรคนี้มีอัตราการเป็นซ้ำสูงถึง 90% แพทย์จึงมักจะแนะนำให้ทานยาต่อไปอีกอย่างน้อย 1 ปี



วิตามินซี

วิตามินซี
    
     วิตามินซี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ เป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จะได้รับวิตามินชนิดนี้จากการรับประทานเท่านั้น วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถป้องกันและรักษาการอักเสบ อันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้ แหล่งของวิตามินซีมีมากในผักตระกูลกะหล่ำ และการที่จะได้รับปริมาณวิตามินซีที่สูง ในผักผลไม้แต่ชนิดนั้นต้องไม่แก่จัด ไม่ผ่านการแปรรูป หมัก ดอง หรือ อบ เพราะจะทำลายวิตามินที่อยู่ในอาหาร ความร้อนก็เป็นตัวทำลายวิตามินซีในการปรุงอาหารด้วยความร้อนแต่ละครั้งจึงไม่ควรทิ้งไว้นานเกินไปเพราะจะสูญเสียวิตามิน ส่วนปริมาณที่เหมาะสมที่จะได้รับต่อวันคือ 250-500 มิลลิกรัมในผู้ใหญ่

ประโยชน์ของวิตามินซี
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- วิตามินซีช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น
- ช่วยลดความเครียด
- ช่วยบรรเทาอาการ หอบ หืด ไซนัส
- ช่วยบรรเทาอาการหวัด
- แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน

โทษของวิตามินซี
     การรับวิตามินซีในปริมาณมากจะทำให้เกิดการสะสมของธาตุเหล็กตามกระดูกและข้อมากขึ้น อาจทำให้เป็นโรคเกาต์ และนอกจากนี้อาจไปรบกวนการดูดซึมของทองแดงและซีลีเนียม ซึ่งอาจส่งผลให้เป็นนิ่วในไต

     วิตามินซีมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีโทษเช่นกันหากได้รับได้ปริมาณที่มากเกินไป ในการรับประทานอาหารเสริมจำพวกวิตามินซีนั้นควรจะรับประทาน 3 เดือนเว้น 1 เดือน และควรดื่มน้ำมากๆ เพราะวิตามินซีละลายได้ดีในน้ำเพื่อไม่ให้เกิดการตกค้างของวิตามินซีซึ่งเป็นสาเหตุของโรคนิ่วตามมา




โรคติดกาแฟ

ติดกาแฟ

     กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ทำมาจากเมล็ดต้นกาแฟ มีอยู่หลากหลายชนิดเช่น เอสเปรสโซ คาปูชิโน ลาเต้ มอคค่า ฯลฯ เป็นที่นิยมดื่มกันทั่วโลก ทุกท่านต่างรู้ในสรรพคุณของกาแฟคือ ทำให้รู้สึกตื่นตัว แก้ง่วง รวมถึงกลิ่นและรสชาดอันกลมกล่อม ผู้คนหลากหลายวัยชื่นชอบที่จะดื่มกาแฟในยามเช้าเพื่อให้รู้สึกตื่นตัว ไม่อ่อนเพลีย ซึ่งในกาแฟนี้มีสารที่ชื่อว่า คาเฟอีน สารตัวนี้เองทำให้หลายๆ ท่านกลายเป็นโรคติดกาแฟ เพราะถ้าไม่ดื่มจะเกิดอาการอยากดื่ม คาเฟอีนจึงเปรียบได้กับเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่งก็ว่าได้

อาการติดกาแฟ
- มีความต้องการที่จะดื่มกาแฟอยู่ตลอด
- มีอาการปวดศรีษะ เฉื่อยชา เซื่องซึม หดหู่ เวลาที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ
- มีอาการดื้อ คาเฟอีน คือจะมีการเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จากเคยดื่ม 1 แก้วแล้วเอาไม่อยู่ต้องเพิ่มเป็น 2 แก้ว เป็นต้น

วิธีเลิกกาแฟ
- ค่อยๆ ลดปริมาณในการดื่มกาแฟให้น้อยลง
- หาเครื่องดื่มทดแทน อาจจะเป็นพวกน้ำผักน้ำผลไม้ ชา หรือนม แทน
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เวลาตื่นจะได้รู้สึกสดชื่นไม่ง่วงนอน
- ดื่มน้ำมากๆ จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย
- ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

     ปกติแล้วในกาแฟ 1 ถ้วยจะมีกาเฟอีนประมาณ 40-50 mg. ส่วนในกาแฟเย็นแก้วใหญ่ๆ นั้นมีกาเฟอีนประมาณ 40-70 mg.การดื่มกาแฟของคนโดยทั่วไปไม่ควรเกิน 200 mg. ต่อวัน หรือประมาณ 4 ถ้วยต่อวัน ซึ่งปริมาณกาเฟอีนที่เป็นพิษต่อร่างกาย คือ 1,000 mg. ต่อวัน
     ถึงแม้ว่าการดื่มกาแฟจะไม่ได้เป็นอัตรายกับสุขภาพร่างกายของคุณอย่างร้ายแรง แต่การดื่มกาแฟก็ไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อร่างกายคุณเช่นกัน

ใช้เครื่องสำอางปริมาณที่เหมาะสม ช่วยประหยัดเงิน

เครื่องสำอาง
  
     เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิวหน้าที่เราซื้อมาใช้กันบางชิ้นบางอันราคาก็ไม่ใช่จะถูกๆ เพื่อเป็นการประหยัดเงินอีกวิธีหนึ่ง คือการใช้เครื่องสำอางในปริมาณที่เหมาะสมกับใบหน้าของคุณ

มอยเจอร์ไรเซอร์
ปริมาณที่เหมาะสมคือ ประมาณถั่วลิสง 2 เม็ด เป็นปริมาณที่เพียงพอที่จะใช้สำหรับทาหน้าและลำคอของคุณให้ทั่ว

รองพื้น
ปริมาณที่เหมาะสมคือ ประมาณ 1 ฝาขวดแบบจีบ การใช้งานรองพื้นค่อยๆ แตะรองพื้นและเกลี่ยทีละจุดจนทั่วใบหน้า เพราะรองพื้นบางตัวแห้งไวอาจทำให้เกิดคราบได้ ไออุ่นจากนิ้วของคุณจะช่วยให้รองพื้นติดผิวของคุณได้ดียิ่งขึ้น

อายครีม
ปริมาณที่เหมาะสมคือ ประมาณเมล็ดถั่ว บริเวณรอบดวงตาเป็นผิวที่บอบบางเป็นพิเศษควรค่อยๆ แตะครีมลงบนรอบดวงตาอย่างเบามือ

ครีมกันแดด
ปริมาณที่เหมาะสมคือ ประมาณเหรียญ 10 บาท ครีมกันแดดจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสม



5 วิธีดูแลผมสุขภาพดี

ดูแลผม

    
     - เลือกรับประทานที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม เช่น ปลา ถั่ว เป็นต้น เพราะโปรตีนและโอเมก้า 3 จะช่วยส่งเสริมให้ผมมีสุขภาพที่แข็งแรงและหนังศีรษะมีสุขภาพดี สารอาหารที่พบในผักใบถั่วและแครอทก็มีประโยชน์ต่อเส้นผมของคุณ การขาดสารอาหารจำพวกสังกะสี ไบโอติน โปรตีน จะทำให้เส้นผมเปราะ และร่วง

     - หลีกเลี่ยงการหวีผมขณะเปียก การหวีผมในขณะที่ผมเปียกเป็นการทำร้ายเส้นผมของคุณ และทำให้ผลหลุดร่วงได้ง่ายกว่าขณะผมแห้งแต่ถ้าจำเป็นต้องจัดแต่งทรงผมจริงๆ แนะนำให้ใช้หวีซี่ห่างแทน

     - เลือกใช้แชมพูที่สะบายกระเป๋าคุณ แชมพูที่แพงใช่ว่าจะดีเสมอไปควรเลือกแชมพูที่เหมาะต่อประเภทเส้นผมของคุณ

     - หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนสีผมบ่อยๆ การทำสีผมแต่ละครั้งเป็นการทำลายเส้นผมอย่างมาก ควรใช้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมที่ทำมาจากธรรมชาติ หรือปล่อยให้สีผมของคุณเป็นสีตามธรรมชาติบ้าง

     - ปกป้องผมจากแสงแดด โดยการใช้สเปรย์ฉีดผมที่ช่วยป้องกันแสงแดด หรือสวมหมวกเก็บรวบผมในเวลาที่ต้องอยู่กลางแสงแดด



วิธีฉีดน้ำหอมให้ติดทน

วิธีฉีดน้ำหอม

     เทคนิคการ"ฉีดน้ำหอม"ให้ติดทนนานก่อนอื่นต้องใส่ใจในเรืองการเลือกน้ำหอมก่อนเป็นอันดับแรก สาวๆ ท่านไหนที่กำลังมองหาน้ำหอมที่ติดทน และเข้ากับตัวเราข้อแนะนำอย่างหนึ่งคือให้ไปลองตัวเทสเตอร์ตามแบรนต่างๆ ก่อนคะทดลองฉีดตามจุดต่างๆ ของร่างกายเมื่อเทสแล้วให้ลองออกไปเดินเล่นชอปปิ้งซักหลายๆ ชั่วโมงแล้วลองดมบริเวณที่ฉีดน้ำหอมดูคะว่ากลิ่นน้ำหอมยังติดอยู่รึเปล่า เป็นวิธีง่ายๆ ในการทดสอบการติดทนของน้ำหอมไม่ยากเลยใช่ไหมคะ พอเลือกกลิ่นที่คิดว่าใช่แล้วต่อไปก็เป็นวิธีการฉีดน้ำหอม

วิธีฉีดน้ำหอม
- เมื่อคุณอาบน้ำเสร็จให้ฉีดน้ำหอมไปตามจุดชีพจรต่างๆ เช่น ต้นคอ ข้อพับ ร่องอก ข้อมือ ฉีดเพียงที่ละเล็กน้อยเพื่อให้กลิ่นน้ำหอมไม่แรงจนเกินไป
- อีกวิธีหนึ่งคือเมื่อคุณอาบน้ำเสร็จยังไม่ต้องใส่เสื้อผ้านะคะ ให้ฉีดน้ำหอมไปทางด้านหน้าแล้วเดินผ่านน้ำหอมก็จะติดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย 
- ถ้าอยากให้น้ำหอมติดทน คุณอาจจะเลือกใช้โลชั่นที่มีกลิ่นเดียวกับน้ำหอมมาใช้ก็ได้คะ จะช่วยให้กลิ่นติดทนยิ่งขึ้น

วิธีเก็บน้ำหอม
- วิธีการเก็บน้ำหอมที่รักษาคุณภาพของน้ำหอมไว้นั้น ควรเก็บในที่ที่มีอุณหภูมิห้องคะไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป สาวๆบางคนอาจเก็บน้ำหอมไว้ในตู้เย็น การเก็บน้ำหอมไว้ในตู้เย็นเวลาที่เปิดตู้เย็นหรือหยิบน้ำมาใช้ เมื่อเกินอุณหภูมิที่ต่างจากในตู้อาจทำให้มีน้ำเข้าไปปะปนกับตัวน้ำหอม ทำให้คุณภาพของน้ำหอมลดลงคะ ทางที่ดีควรเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า หรือลิ้นชักจะดีกว่าคะ

     ทั้งนี้กลิ่นน้ำหอมที่ได้ต่างคนอาจได้กลิ่นไม่เหมือนกัน เพื่อนใช้แล้วหอมแต่เรากลับใช้แล้วมันไม่เข้าเอาเสียเลย และการติดทนของน้ำหอมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างเช่น สภาพแวดล้อม แสงแดด และอุณหภูมิ

โบท็อกซ์ Botox

โบท็อกซ์ botox


โบท็อกซ์ คือ ?
     เป็นโปรตีนบริสุทธิ์ ซึ่งสกัดได้จาก Botolinum Toxin type A เป็นสารพิษจากแบคทีเรีย ที่สามารถทำลายปลายประสาทในกล้ามเนื้อ การฉีดโบท็อกซ์เพื่อยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อที่เกิดริ้วรอยคลายตัว เหมาะกับริ้วรอยที่เหี่ยวย่นจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อมากกว่าปกติ ชเน รอยตีนกาจากการยิ้มหรือหัวเราะ รอยขมวดคิ้ว เป็นต้น ปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในการเสริมความงามโดยที่ไม่ต้องศัลยกรรม โบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ประมาณ 1 อาทิตย์หลังจากทำการฉีด และจะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน

ผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์
     แม้จะมีรายงานทางการแพทย์ว่าการฉีดโบท็อกซ์ค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็ยังมีผลข้างเคียงของการฉีดอาจเกิดขึ้นได้ในบางจุด เช่น หนังตาตก หน้าไม่สมมาตร เกิดอาการฟกช้ำบริเวณที่ฉีด การเกิดผลข้างเคียงนั้นมีทั้งมากและน้อยหรือไม่เกิดเลยแล้วแต่รายบุคคลไป

ข้อปฏิบัติหลังฉีดโบท็อกซ์
     - ห้ามนวดคลึง บริเวณที่ฉีด
     - ห้ามนอนราบหลังจากฉีดเป็นเวลา 4 ชั่วโมง
     - งดออกกำลังกายอย่างหนักภายใน 24 ชั่วโมง
     - ห้ามโดนความร้อน และเข้าห้องอบซาวน่า 2 สัปดาห์
     - ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 เดือนหลังทำการฉีด

การดูแลสุขภาพจิต

สุขภาพจิต

     ในสภาพที่สังคมที่วุ่นวาย และสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ขึ้นทุกวันเช่นนี้อาจทำให้บางคนสุขภาพจิตใจย่ำแย่ตามไปด้วย ในเมื่อเราอยากมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงก็ควรมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย จึงจะเรียกว่าสุขภาพดีแข็งแรงอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้พร้อมในดำเนินชีวิต และเผชิญกับปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

     - หัดเป็นคนมองโลกในแง่บวก
การดำเนินชีวิตในแต่ละวันย่อมมีเรื่องราว และปัญหาต่างๆ เข้ามามากมายให้เราได้คิด ตัดสินใจ และแก้ไขปัญหา ไม่มีทางหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ได้อยู่แล้วเราควรมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ เช่น วันนี้เราทำเงินหาย 100 บาท ก็คิดเสียว่าดีแล้วที่ไม่ใช่ 500 บาท ถือว่าทำบุญให้คนที่เก็บได้ไป เป็นต้น 

     - ไม่เก็บเอาทุกเรื่องมาคิดมาก
การเก็บเอาทุกเรื่องในชีวิตมาคิดโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ดีแล้วก็มานั่งทุกข์ เป็นการกระทำที่ทำให้สุขภาพจิตย่ำแย่ เรื่องบางเรื่องก็ต้องรู้จักปล่อยวางไปซะบ้าง 

     - สร้างกิจกรรมผ่อนคลาย
หากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายร่างกาย และจิตใจ เช่น การออกกำลังกาย งานอดิเรก ศิลปะ เป็นต้น กิจกรรมพวกนี้จะช่วยผ่อนคลายจิตใจ และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี

     - มีความสุขกับชีวิต
ชีวิตทุกคนย่อมมีการหาความสุขให้กับตัวเองที่แตกต่างกันไป จงเรียนรู้การใช้ชีวิตให้เป็นสุข มีจุดมุ่งหมายในชีวิต และทำทุกๆ วันให้เป็นวันที่มีความสุข


เพียงแค่นี้เราก็จะดำเนินชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข และมีสุขภาพจิตที่ดี ซึ่งจะช่วยส่งเสริมในเรื่อง การงาน การเรียน และการทำกิจกรรมอื่นๆ ต่อไป 
    

Mineral Makeup (MMU) คืออะไรนะ ?

MMU

     MMU-Mineral Makeup คุณผู้หญิงหลายๆคนอาจเคยได้ยินเรื่องเครื่องสำอาง MMU แล้วมันคืออะไร ? มีข้อดี ข้อเสีย และแตกต่างจากเครื่องสำอางทั่วไปอย่างไร

MMU คือ เครื่องสำอางที่ทำมาจากแร่ธาตุธรรมชาติ โดยจะไม่มีส่วนผสมของสารเคมี น้ำหอม แอลกอฮอล์ ผสมอยู่ในเครื่องสำอางชนิดนี้เลย ซึ่งแร่ธาตุที่นำมาใช้เป็นส่วนผสมของ MMU นั้นก็มีมากมายหลายชนิด เช่น Allantoin: ช่วยในการปกป้องผิวหนัง และช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี, Mica: ทำมาจากแร่ซิลิก้า มีสีสันสวยงาม และเป็นประกาย, Talc: ช่วยให้เครื่องสำอางเกาะติด ลื่นและกระจายแสงได้ดี

ข้อดีของ mmu
- เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย และเป็นสิว เพราะทำมาจากแร่ธาตุธรรมชาติ
- จะได้การแต่งหน้าที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่หนาเหมือนเครื่องสำอางทั่วไป
- เครื่องสำอาง MMU มีอายุที่ยาวนานกว่าเครื่องสำอางทั่วไปเพราะไม่มีส่วนผสมที่เป็นอาหารของ   
   แบคทีเรีย

ข้อเสียของ mmu
- ใช้ได้ยากเนื่องจากเครื่องสำอางชนิดนี้จะทำออกมาในรูปแบบผง จึงต้องใช้อุปกรณ์ในการแต่งหน้า และควรเรียนรู้วิธีการใช้ที่ถูกต้อง จึงจะได้ผลลัพธ์การใช้ที่เต็มประสิทธิภาพ

นาฬิกาชีวิต

นาฬิกาชีวิต

นาฬิกาชีวิต คือ?
บางคนอาจเคยได้ยินคำว่านาฬิกาชีวิต แล้วมันคืออะไร? นาฬิกาชีวิตก็คือเวลาที่ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงาน เพื่อให้ระบบของร่างกายได้ทำงานอย่างเต็มที่เรามาดูกันคะว่าเวลาไหนเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร

เวลา 05:00-07:00 น.
เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่ เวลานี้เหมาะสมที่จะขับถ่าย เพราะเป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่บีบตัวสูงทำให้ขับถ่ายออกได้หมด

เวลา 07:00-09:00 น.
เป็นเวลาของกระเพาะอาหาร เวลานี้เหมาะสำหรับการรับประทานอาหารเช้า เพราะน้ำย่อยจะออกมามากในช่วงเวลานี้

เวลา 09:00-11:00 น.
เป็นเวลาของของม้าม ม้ามจะรับพลังงานจากการย่อยอาหารมาแปรสภาพเป็นเม็ดเลือดแดง เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ทำกิจกรรมระหว่างวัน หากไม่ได้รับประทานอาหารเช้าแล้ว ม้ามจะต้องดึงพลังงานสำรองมาใช้จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และไม่สดชื่น

เวลา 11:00-13:00 น.
เป็นเวลาของหัวใจ ในช่วงเวลานี้หัวใจจะทำงานหนัก ควรหลีกเลี่ยงการใช้ความคิดหนักๆ เรื่องเครียดๆ

เวลา 13:00-15:00 น.
เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก ในช่วงเวลานี้ลำไส้เล็กจะดูดซึมอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด ควรงดรับประทานอาหารทุกประเภทเพื่อให้ลำไส้เล็กได้ทำงาน

เวลา 15:00-17:00 น.
เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ ในช่วงเวลานี้ควรออกกำลังกาย หรือทำให้เหงื่อออก กระเพราะปัสสาวะจะได้แข็งแรง

เวลา 17:00-19:00 น.
เป็นช่วงเวลาของไต ควรทำร่างกายให้สดชื่น ไม่ง่วงนอนในช่วงเวลานี้เพราะเป็นข้อบ่งบอกถึงอาการไตเสื่อม

เวลา 19:00-21:00 น.
เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรทำกิจกรรมเบาๆ เช่น นั่งสมาธิ เล่นโยคะ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย

เวลา 21:00-23:00 น.
เป็นเวลาเข้านอน ช่วงเวลาระบบภูมิต้านทานของร่างกายจะทำงานได้ดีที่สุด และสำรองพลังงานไว้ซ่อมแซมร่างกายตลอดคืน ช่วงเวลานี้ควรงดอาบน้ำเย็นและตากลมเพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย

เวลา 23:00-01:00 น.
เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี เป็นช่วงเวลาที่ไขมันจะถูกย่อยสลายอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนในช่วงเวลานี้จะทำให้มีไขมันสะสมอยู่ตรงส่วนต่างๆ เช่น บริเวณต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง

เวลา 01:00-03:00 น.
เป็นช่วงเวลาของตับ เป็นช่วงเวลาที่ตับจะขจัดสารพิษในร่างกาย ทำลายเม็ดเลือดที่เสื่อมอายุ สร้างสารทำให้เลือดแข็งตัว การนอนหลับพักผ่อนได้ดีในช่วงเวลานี้เป็นประจำจะช่วยทำให้ ผิวพรรณสดใส และหน้าดูอ่อนกว่าวัย

เวลา 03:00-05:00 น.
เป็นช่วงเวลาของปอด เป็นช่วงเวลาของปอดที่ทำงานได้เต็มที่ จึงควรที่จะตื่นขึ้นมารับอากาศบริสุทธิ์ หรือออกกำลังกาย

ทีนี้เราก็รู้เวลาในการทำงานของร่างกายในแต่ละช่วงกันแล้ว คุณผู้อ่านก็ลองนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกันดูนะคะเพื่อสุขภาพ และผิวพรรณที่ดีของตัวเราเอง ^^



ว่าด้วยเรื่อง "ฝ้า"

ฝ้า

ฝ้า คือ การสร้างเม็ดสีผิวที่ผิดปกติทำให้เกิดรอยบนผิวหนังเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำ เกิดบริเวณที่ถูกแสงแดดมาก บริเวณที่พบได้บ่อยคือ บริเวณโหนกแก้ม หนวด คาง และหน้าผาก ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับผู้หญิงอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป

สาเหตุของการเกิดฝ้า
- เกิดจากฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง ทำให้ผิวหนังเกิดการสร้างเม็ดสีมากกว่าปกติ เช่น เกิดในหญิงตั้งครรภ์ กินหรือฉีดยาคุม
- เกิดจากกรรมพันธุ์ การที่คนในครอบครัวเป็นฝ้านั้นทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นฝ้าได้มากกว่าร้อยละ 30
- เกิดจากแสงแดด การถูกแสงแดด แสงไฟมากๆ ก็ทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน
- เครื่องสำอาง ในเครื่องสำอางบางตัวที่มีส่วนผสมของสารเคมีหรือน้ำหอมบางชนิด อาจเป็นตัวทำให้เกิดฝ้าได้
- ผู้ที่เป็นโรคบางชนิด เช่น แอดดิสัน เนื้องอกของรังไข่ โรคไทรอยด์ เป็นต้น
- เกิดจากการรับประทานยาบางชนิด เช่น ไดเฟนิล มีแซนโทอิน ไฮเดนโทอิน

การรักษาฝ้า
     หาสาเหตุของการเกิดฝ้าและหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า เช่น งดใช้ยาคุมกำเนิด ใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอม หรือปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษา

วิธีการใส่คอนแทคเลนส์

วิธีใส่คอนแทคเลนส์

     ขึ้นชื่อว่าคอนแทคเลนส์มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบสายตา บิ๊กอายมากมายสีสัน มีทั้งประโยชน์และโทษถ้าไม่ดูแล และรักษาความสะอาดให้ดีเรามาดูการใส่คอนแทคเลนส์กันค่ะ
เตรียมตัวก่อนใส่คอนแทคเลนส์
- ล้างมือให้สะอาดและทำให้แห้ง (อาจรอให้แห้งเองก็ได้เพราะขุยที่ผ้าอาจติดอยู่ที่มือ)
- ควรใส่คอนแทคเลนส์ก่อนแต่งหน้าหรือลงเครื่องสำอาง

การใส่คอนแทคเลนส์
- ขั้นแรกควรนำคอนแทคเลนส์มาล้างเสียก่อน โดยการวางไว้บนมือด้านซ้ายแล้วเทน้ำยาล้างใช้นิ้วด้านขวาค่อยๆ ถูวนทั้งสองด้านของคอนแทคเลนส์
- นำคอนแทคเลนส์ที่ล้างสะอาดแล้วมาวางไว้บนนิ้วชี้ข้างที่ถนัด (สังเกตเลนส์ด้านที่ถูกต้องจะต้องว้าวลงไป ด้านที่ผิดจะคล้ายกับรูประฆังปลายบานออกดังรูป)


- ใช้นิ้วชี้มืออีกข้างดึงเปลือกตาบนขึ้น และใช้นิ้วโป้งช่วยดันเปลือกตาล่างลง
- ค่อยๆ วางคอนแทคเลนส์ลงบนตา แล้วค่อยกระพริบตาเพื่อให้ให้คอนแทคเลนส์เข้าที่

การถอดคอนแทคเลนส์
- ล้างมือให้สะอาด
- ใช้นิ้วชี้ดึงเปลือกตาบน และนิ้วโป้งดึงเปลือกตาล่าง
- ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งอีกด้านค่อยๆ หยิบคอนแทคเลนส์ออก
- นำคอนแทคเลนส์ล้างให้สะอาดและเก็บใส่ตลับ

ข้อแนะนำ
- ควรเปลี่ยนตลับแช่คอนแทคเลนส์ทุกๆ 3 เดือน
- ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนใส่หรือถอดคอนแทคเลนส์
- ไม่ใช้คอนแทคเลนส์ที่หมดอายุ (เริ่มนับวันที่เปิดใช้ครั้งแรก)

เล็บขบ


     เล็บขบ คือ อาการที่เล็บที่ทิ้มเข้าไปในบริเวณผิวหนังบริเวณปลายเล็บ ทำให้เกิดการอักเสบ ปวด และอาจมีหนองร่วมด้วย เกิดขึ้นได้ทั้งเล็บมือและเล็บเท้าแต่ส่วนใหญ่มักจะเกิดที่เล็บเท้า

     สาเตุของเล็บขบ 
     - การตัดเล็บที่ไม่ถูกต้อง ตัดมุมเล็บชิดเนื้อเกินไปทำให้เล็บที่งอกแทงเข้าที่ซอกเล็บ
     - การติดเชื้อราที่เล็บ 
     - การสวมใส่รองเท้่าที่ไม่เหมาะสม อาจจะคับหรือเล็กเกินไป ใส่รองเท้าที่มีส้นสูงเกินไป
     - การได้รับอุบัติเหตุเล็บฉีก เมื่อเล็บใหม่ที่งอกขึ้นมาทิ้มผิวหนังทำให้เกิดเล็บขบได้

     วิธีการป้องกันเล็บขบ
     - สวมใส่รองเท้าที่ไม่คับจนเกินไป
     - ดูแลรักษาความสะอาด ไม่ให้อับชื้นจนเกิดเชื้อรา
     - ตัดเล็บให้ถูกวิธีโดยการตัดเล็บเป็นแนวตรงไม่ตัดจนชิดเนื้อเล็บ และไม่ตัดมุมเล็บ

กําจัด เซลลูไลท์

กําจัด เซลลูไลท์

     เซลลูไลท์ คือ ไขมันที่สะสมอยู่ชั้นบนของผิวบริเวณสะโพก ต้นขา ก้น ต้นแขน และรอบเอว โดยจะมีลักษณะ ขรุขระ คล้ายกับผิวของเปลือกส้ม ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนหรือผอม ก็หนีไม่พ้นเจ้าตัวไขมันที่เรียกว่าเซลลูไลท์ 
     เซลลูไลท์ เกิดจาก
- ขาดการออกกำลังกาย
- รับประทานอาหารจำพวกที่มีไขมันสูง และเครื่องดื่มแอลกอฮอร์
- เกิดจากความไม่สมดุลของระบบฮอร์โมนเอสโตรเจน
- สารนิโคตินจากการสูบบุหรี่
- ดื่มน้ำน้อย
     วิธีกำจัดเซลลูไลท์
วิธีการกำจัดเซลลูไลท์นั้นมีด้วยกันอยู่หลายรูปแบบมีทั้งที่เสียเงินและไม่เสียเงิน อันนี้ก็แล้วแต่ว่าสาวๆ จะสะดวกวิธีไหนกันคะ
- วิธีแรกเป็นวิธีที่ง่ายแต่ทำได้ยาก นั่นคือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดการเผาผลาญพลังงาน เพื่อให้เซลลูไลท์สลายตัว และผิวกระชับมากยิ่งขึ้น
- ควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้ขึ้นหรือลงรวดเร็วเกินไป
- ควบคุมอาหารรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ของหวาน อาหารรสเค็ม เนื้อสัตว์ไขมันสูง และเครื่องดื่มแอลกอฮอร์
- งดสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่จะไปทำลายการนำวิตตามินซี ในร่างกายไปใช้ และทำลายการสร้างคอลลาเจนในผิว ทำให้เซลลูไลท์เพิ่มมากยิ่งขึ้น
- การนวดผิว การบีบนวดผิวเป็นประจำ จะเป็นการช่วยให้เลือกมาเลี้ยงผิวได้ดีมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ไขมันสะสมได้ยากขึ้น
- Mesotherapy คือการฉีด สารสะกัดจากถั่วเหลือง และวิตตามินชนิดต่างๆ เป็นวิธีการที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการกำจัดเซลลูไลท์ โดยจะทำให้เซลล์ไขมันมีลักษณะทางกายภาพเปลี่ยนไป ทำให้การสะสมของไขมันลดลง
- Carboxy เป็นการลดไขมันเฉพาะที่ด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เข้าไปยังชั้นไขมันใต้ผิวจะช่วยเพิ่มการขยายตัวของเส้นเลือด และทำให้เซลไขมันสลายตัวและถูกกำจัดออกไป

เฉดดิ้ง หน้าเรียว

เฉดดิ้ง

     การแต่งหน้านั้นช่วยในการปรับเปลี่ยนรูปหน้าให้ดูเข้ารูป และมีมิติได้ด้วยการลงเฉดดิ้งและไฮไลท์
ก่อนอื่นเราควรจะรูปจักกับคำว่า เฉดดิ้ง ไฮไลท์ และคอนทัวร์ ซะก่อน

     เฉดดิ้ง คือ การลงที่ที่เข้มกว่าสีผิวจริงประมาณ 2 เฉดบนใบหน้าเพื่อสร้างเงาบนใบหน้า ซึ่งสาวเอเชียส่วนใหญ่จะมีลักษณะใบหน้าที่แบน การเฉดดิ้งจะทำให้ใบหน้าดูมีมิติและอำพรางในส่วนที่ต้องการให้ดูแคบหรือเล็กลง
     ไฮไลท์ คือ การลงสีที่อ่อนกว่าสีผิวจริง เพื่อเน้นส่วนที่ต้องการให้โดดเด่นขึ้นมาบนใบหน้า เช่น สันสมูก
     คอนทัวร์ คือ การแรเงาเป็นวิธีการของเฉดดิ้ง เป็นการลากเส้นการแรเงาบนใบหน้า

ในเมื่อเรารู้จักกับคำพวกนี้แล้ว ก็จะมาดูส่วนที่ต้องลงคอนทัวร์ และส่วนที่ต้องไฮไลท์กันค่ะ ซึ่งจะแต่งต่างกันไปตามรูปหน้าของแต่และคน

ใบหน้ารูปไข่

ใบหน้ากลม

ใบหน้ารูปเพชร

ใบหน้ายาว

ใบหน้ารูปหัวใจ

ใบหน้าเหลี่ยม







    



อาหารเสริม

          
          อาหารเสริม คือ อาหารที่เข้ามาเพิ่มเติม เติมเต็มจากอาหารจานหลักที่เราทาน อาจจะอยู่ในรูปแบบ เม็ด ผง แคปซูล ของเหลว หรือในลักษณะอื่นๆ อาหารเสริมจะไม่มีสรรพคุณในการรักษาโรค แต่มีจุดมุ่งหมายเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกาย เพื่อป้องกันการเกิดโรค และเพื่อที่จะให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการ
                  
          อาหารเสริม จำเป็นหรือไม่ ยังคงเป็นคำถามที่หลายๆ คนอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วอาหารที่เราทานอยู่เพียงพอที่จะบำรุงร่างกายหรือไม่ ต้องทานอาหารเสริมเพิ่มเติมไปอีกหรือเปล่า คำตอบของนักวิชาการส่วนใหญ่ ก็คือการทานอาหารเสริมไม่จำเป็นถ้าเราทานอาหารครบ 5 หมู่ แต่ในยุคที่เร่งรีบเช่นปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่มักจะทานอาหารจานด่วนให้อิ่มท้อง แต่สารอาหารไม่ครบถ้วนและเพียงพอ อาหารเสริมจึงเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยในเรื่องของการดูแลสุขภาพ

 
Beauty-tips Copyright © 2011 | Tema diseñado por: compartidisimo | Con la tecnología de: Blogger