แผลเป็นคีลอยด์ keloid

คีลอยด์-keloid
 
 
 
คีลอยด์ (Keloid) คือ รอยแผลเป็นที่มีลักษณะโตนูนแดง เกิดจากเนื้อเยื่อบริเวณนั้นมีการเจริญกว่าปกติเพื่อที่จะซ่อมแซมบาดแผล ขนาดของแผลคีลอยด์จะกว้างกว่าแผลที่เป็นในตอนแรก โดยมักจะเกิดหลังจากแผลหายแล้วประมาณหนึ่งอาทิตย์ แผลคีลอยด์นั้นเกิดขึ้นได้จากการเกิดแผลทุกประเภทไม่ว่าจะเป็น มีดบาด น้ำร้อนลวก เจาะหู การผ่าตัด และแผลอื่นๆ ซึ่งตำแหน่งที่พอได้บ่อยก็คือ บริเวณหลัง ไหล่ คอ หน้าอก แขน และขา
 
การดูแลแผลไม่ให้เกิดคีลอยด์
     ซึ่งเมื่อเกิดแผลขึ้นบนร่างกายไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ควรที่จะดูแลแผลไม่ให้ติดเชื้อ ห้ามรบกวนหรือสัมผัสบริเวณแผลเมื่อแผลเริ่มตกสะเก็ดก็ห้ามแกะเป็นอันขาด พอสะเก็ดเริ่มหลุดออกอาจหายามาทาเพื่อป้องกันรอยเป็น หลีกเลี่ยงรอยแผลเป็นจากแสงแดดเพราะจะทำให้รอบแผลเป็นนั้นดำคล้ำ
 
วิธีรักษาคีลอยด์
- การทายารักษารอยแผลเป็นซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลานานซักหน่อย โดยจะเห็นผลเมื่อทาต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน หรืออาจเป็นปี
- การใช้แผ่นซิลิโคนปิดบริเวณแผลเป็น
- การฉีดยาในกลุ่มสเตียรอยด์ ต้องทำการฉีดซ้ำหลายครั้งแล้วแต่ขนาดของรอบแผลเป็น และถ้าเป็นแผลที่เกิดขึ้นนานแล้ว อาจต้องทำการฉีดหลายครั้งกว่าแผลเป็นที่เพิ่งเกิด
- การใช้เลเซอร์ซึ่งจะช่วงให้หลอดเลือดหดตัว และจะทำให้สีของคีลอยด์เป็นธรรมชาติกลมกลืนกับผิวไม่แดง
- การผ่าตัดใช้กับแผลเป็นบางชนิดโดยจะทำการผ่าตัดเอาเนื้อที่นูนออก และเย็บแผลปิดใหม่ซึ่งเหมาะสำหรับแผลเป็นที่มีขนาดใหญ่หรือเกิดขึ้นมานานแล้ว

โดสเร่งขาวคืออะไร อันตรายหรือไม่?

โดสเร่งขาว

     หลายคนอาจเคยเห็นโฆษณาขายโดสเร่งขาวจากสื่อต่างๆ ทางอินเตอร์ขายกันเป็นขวดละ 10 20 บาทขายเป็นกิโลกรัมก็มี คงเกิดข้อสงสัยว่าโดสเร่งขาวคืออะไร? ใช้แล้วจะขาวเหรอ? อันตรายไหม? เราจะมาทำความรู้จักกันคะ

โดสเร่งขาว คือ
     สาวๆ หลายคนคงรู้จัก AHA ซึ่งก็คือกรดชนิดหนึ่งที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว และมักจะเป็นส่วนผสมในพวกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยี่ห้อต่างๆ ซึ่งจะผสมอยู่ในครีมบำรุงผิวอยู่ที่ปริมาณ 5-10% ส่วนเจ้าโดสเร่งขาวส่วนผสมของมันก็คือ AHA ผสมกับน้ำกลั่นสะอาดแต่ AHA ที่ว่านี้มีปริมาณถึง 70% ซึ่งถือว่าเยอะมากๆ ซึ่งในการใช้อาจจะดูทำให้ขาวขึ้นก็จริงแต่เป็นอันตรายต่อผิวคะ เพราะจะทำให้ผิวไวต่อแสงแดด ผิวบางลง ในบางรายอาจทำให้บริเวณผิวที่ใช้เป็นรอยด่างได้ ถึงจะอยากขาวอยากสวยแค่ไหนก็ควรศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดก่อนใช้ให้ดี อย่างน้อยผลิตภัณฑ์ก็ควรมี อย. และที่อยู่ที่ผลิต ถึงจะวางใจได้

แปรงแต่งหน้าแต่ละแบบ

แปรงแต่งหน้า

     สาวๆ อาจเคยเห็นแปรงแต่งหน้ามากมายตามท้องตลาด ต่างมีรูปทรง และขนาดของแปรงแตกต่างกันเพื่อให้เหมาะสมตามการใช้งานในส่วนต่างๆ ของใบหน้า ก่อนที่เราจะมารู้จักกับการใช้งานแปรง เรามาดูชนิดของขนแปรงกันก่อนดีกว่าว่าทำมาจากอะไรกันบ้าง

ชนิดของขนแปรงแต่งหน้าจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
- แปรงขนธรรมชาติ คือแปรงที่ทำมาจากขนสัตว์ต่างๆ เช่น ขนม้า ขนกระรอก ขนแพะ เป็นต้น แปรงที่ทำมาจากขนสัตว์มีคุณสมบัติที่ละเอียดเบาเหมาะสำหรับการแต่งหน้าที่เป็นเนื้อแป้่ง หรือฝุ่นผง เช่นการปัดแก้ม การทาอายแชโดว์ แต่ขนแปรงแบบธรรมชาติมักจะมีราคาค่อนข้างสูง
- แปรงขนสังเคราะห์ คือขนที่ทำมาจากเส้นใยสังเคราะห์ ส่วนใหญ่ทำมาจากไนลอน ขนแปรงจะมีความนิ่ม แต่จะไม่คืนรูปเหมือนขนแบบธรรมชาติ เหมาะที่จะใช้กับเครื่องสำอางที่เป็นเนื้อครีม เช่น ครีมรองพื้น

ทีนี้เราจะมาดูว่าแปรงแต่งหน้าแต่ละแบบ มีหน้าที่แตกต่างกันอย่างไรบ้างโดยจะแบ่งตามการใช้งานในส่วนต่างๆ ของใบหน้า

แปรงรองพื้น ( Foundation Brush)
หัวแปรงจะมีทั้งแบบแบน แบบเป็นพุ่ม และแบบหัวตัดตรง ควรที่จะใช้ขนแปรงธรรมชาติ

แปรงรองพื้น



แปรงทาแป้ง (Powder Brush) 
หัวแปรงจะมีลักษณะเป็นพุ่มๆ นิ่ม ขนฟู ควรที่จะใช้ขนแปรงสังเคราะห์
แปรงทาแป้ง
แปรงปัดแก้ม (Blush Brush)
หัวแปรงลักษณะอาจคล้ายกับแปรงทาแป้ง แต่มีขนาดเล็กกว่าเพื่อให้พอดีกับแก้ม ปลายหัวอาจจะมีลักษณะตัดเอียงนิดหน่อย แล้วแต่ยี่ห้อแปรง ควรใช้ขนแปรงสังเคราะห์ 


แปรงปัดแก้ม


แปรงทาคอนซีลเลอร์ (Concealer Brush) 
หัวแปรงจะมีลักษณะเรียวแบน ควรใช้ขนแปรงสังเคราะห์

แปรงทาคอนซีลเลอร์


แปรงทาอายแชโดว์ (Eye Shadow Brush)
หัวแปรงจะมีลักษณะโค้งมน ขนนุ่ม ควรใช้ขนแปรงธรรมชาติ

แปรงอายแชโดว์


แปรงเขียนอายไลน์เนอร์ (Eyeliner Brush)
หัวแปรงจะมีขนาดเล็ก อาจจะเป็นหัวตัดหรือหัวแหลม แล้วแต่จะเลือกใช้ ควรเป็นขนแปรงสงเคราะห์
แปรงอายไลน์เนอร์

แปรงทาคิ้ว (Brow Brush)
หัวแปรงจะมีขนาดเล็ก มีความแข็งพอสมควรสำหรับการวาดคิ้ว 
แปรงทาคิ้ว












การเลือกรองพื้น

เลือกรองพื้น

     รองพื้นหรือ Foundation เครื่องสำอางที่ใช้สำหรับเตรียมผิวให้เนียนเรียบ และเพื่อปกปิดริ้วรอย จุดด่างดำต่างๆ บนใบหน้า ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ หลายเฉดสี แล้วเราจะเลือกใช้แบบไหน อย่างไรถึงจะเหมาะกับผิวเราละ ?

รองพื้นแบ่งเป็น 3 ชนิด
-รองพื้นแบบน้ำ เป็นที่นิยมอยู่มากเพราะเกลี่ยง่าย มีความบางใสเหมาะสำหรับผิวหน้าธรรมดาหรือผิวหน้าที่มีปัญหาน้อย โดยรองพื้นจะแยกเป็นหลายสูตรด้วยกัน เช่น Sheer coverage จะปกปิดแบบบางเบา Full coverage จะปกปิดแบบเต็มที่
-รองพื้นแบบครีม เนื้อเป็นลักษณะครีมข้นจะเกลี่ยใช้ยากสักหน่อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปกปิดขั้นสูง 
-รองพื้นแบบแป้งผสมรองพื้น รองพื้นชนิดนี้ใช้ง่ายแม้เป็นเวลาที่เร่งรีบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปกปิดไม่มาก และต้องการให้ดูเป็นธรรมชาติ

     เมื่อเรารู้จักชนิดของรองพื้นกันแล้วทีนี้ก็มาดูการเลือกรองพื้นกันดีกว่า ก่อนอื่นเราควรเลือกรองเพื้นให้เหมาะสมกับโอกาสที่ใช้ ว่าต้องแต่งหน้าไปทำอะไร ที่ไหน ถ้าแต่งหน้าออกจากบ้านปกติก็ใช้รองพื้นปกปิดธรรมดาก็พอ แต่ถ้าต้องแต่งหน้าไปออกงานก็ควรเลือกที่ปกปิดหน่อยเืพื่อให้หน้าสวยวิ้งตลอดทั้งงาน

การเลือกสีรองพื้น
     เมื่อเลือกรองพื้นได้เหมาะสมกับโอกาสแล้ว ทีนี้เราก็จะมาเลือกสีกันการเลือกสีรองพื้นให้เข้ากับสีผิวนั้นเราควรนำสีรองพื้นมาเทียบสีตรงบริเวณกราม หรือระหว่างใบหน้ากับลำคอ ถ้าตอนเลือกซื้อทดลองป้ายได้ก็ป้ายเลยเพราะจะได้เชคสีผิวให้ได้ใกล้เคียงที่สุด

     ไม่ยากเลยใช่ไหมคะในการเลือกรองพื้น แต่อย่างไรก็ตามการที่จะได้รองพื้นที่ถูกใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะรองพื้นบางยี่ห้อทาไปอาจทำให้หน้าหมองคล้ำลงระหว่างวัน อันนี้สาวๆ ก็ต้องเลือกหากันแล้วละคะว่าแบรนไหนจะเหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง ขอให้สนุกกับการเลือกรองพื้นนะคะ ^^ 



 
Beauty-tips Copyright © 2011 | Tema diseñado por: compartidisimo | Con la tecnología de: Blogger